การปฏิวัติเม็กซิโก 1910: การลุกฮือครั้งยิ่งใหญ่ของประชาชนเม็กซิกันที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างรุนแรง
การปฏิวัติเม็กซิโกปี 1910 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และทัศนคติของประชาชนเม็กซิกันมาจนถึงทุกวันนี้ มันไม่ใช่แค่การลุกฮือครั้งใหญ่ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม สิทธิ และความเท่าเทียม อันเกิดจากความไม่พอใจต่อการปกครองที่ไร้ความยุติธรรมของประธานาธิบดี Porfirio Díaz ซึ่งครองอำนาจมาเกือบ 35 ปี
Díaz ซึ่งขึ้นสู่อำนาจในปี 1876 เริ่มต้นด้วยแนวคิดที่จะนำความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้ามาสู่เม็กซิโก แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลายเป็นเผด็จการที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ ปิดกั้นสิทธิของประชาชน และเอื้อประโยชน์ให้แก่ชนชั้นสูง
การปกครองของ Díaz ถูกปกคลุมไปด้วยความอยุติธรรมและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ขณะที่ชนชั้นนายทุนเม็กซิกันและต่างชาติร่ำรวยจากการลงทุนในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และการเกษตร ประชาชนส่วนใหญ่ก็ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด
ความไม่พอใจต่อ Díaz และระบอบเผด็จการของเขามาถึงจุดพลิกผันเมื่อ Francisco I. Madero ชายหนุ่มผู้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่ศึกษาด้านวิศวกรรมและกฎหมายในต่างประเทศ ประกาศตัวเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 1910 Madero ถือเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง และข้อเสนอของเขาที่จะนำประชาธิปไตย ความเท่าเทียม และการปฏิรูปที่ดินได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก
Díaz ซึ่งไม่ยอมรับความนิยมของ Madero สั่งจับกุมและขัง Madero ก่อนการเลือกตั้ง การกระทำนี้จุดชนวนให้เกิดการลุกฮือทั่วประเทศเม็กซิโก
ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1910 Francisco I. Madero ได้ประกาศ “Plano de San Luis Potosí” ซึ่งเป็นเอกสารเรียกร้องการปฏิวัติและยุติการปกครองของ Díaz
Madero ร่วมมือกับผู้นำกบฏคนอื่น ๆ รวมถึง Emiliano Zapata จากรัฐ Morelos ผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวนาในการครอบครองที่ดิน และ Pancho Villa จากรัฐ Chihuahua ผู้นำขบวนการปฏิวัติในภาคเหนือ
Díaz และกองทัพของเขาไม่สามารถยับยั้งขบวนการปฏิวัติได้ และในที่สุด Díaz ก็ลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนพฤษภาคม 1911 Madero กลายเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของเม็กซิโก
หลังจาก Díaz ลาออก การปฏิวัติเม็กซิโกก็ยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายปี ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มกบฏต่าง ๆ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเมืองและความรุนแรง
Emiliano Zapata ซึ่งเป็นผู้นำชาวนาที่แข็งแกร่ง ต่อต้านรัฐบาลของ Madero เนื่องจาก Madero ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสัญญาในการปฏิรูปที่ดินอย่างทั่วถึง
Villa และ Zapata เป็นผู้บัญชาการกองทัพสองคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในช่วงนี้
Pancho Villa ซึ่งเป็นผู้นำกองทัพ “Division del Norte” เป็นที่รู้จักกันในเรื่องความกล้าหาญและยุทธวิธีทางทหารที่เฉียบคม Villa ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นแรงงานและชาวนาในภาคเหนือของเม็กซิโก
Zapata ซึ่งเป็นผู้นำกองทัพ “Ejército Libertador del Sur” เป็นที่รู้จักกันในเรื่องความภักดีต่อชาวนาและการต่อสู้เพื่อสิทธิในการครอบครองที่ดิน
Zapata ได้รับการสนับสนุนจากชาวนาในภาคใต้ของเม็กซิโก
Villa และ Zapata ถือเป็นสองบุคคลสำคัญที่สุดของการปฏิวัติเม็กซิโก
หลังจาก Madero ถูก ám sát ในปี 1913 การปฏิวัติก็ดำเนินต่อไป Venustiano Carranza ผู้บัญชาการกองทัพเหนือกลายเป็นผู้นำหลักของการปฏิวัติ Carranza สามารถรวมกลุ่มกบฏต่างๆ และเอาชนะฝ่ายตรงข้าม
ในปี 1917 รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของเม็กซิโกถูกประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดสิทธิของแรงงาน สิทธิในการครอบครองที่ดิน และการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ
การปฏิวัติเม็กซิโกสิ้นสุดลงในปี 1920 แม้ว่าจะมีความรุนแรงและความขัดแย้ง แต่การปฏิวัตินี้ก็เป็นก้าวสำคัญในการสร้างประเทศเม็กซิโกสมัยใหม่
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Emiliano Zapata
- เกิด: 8 สิงหาคม 1879 ในรัฐ Morelos
- เสียชีวิต: 10 เมษายน 1919
Zapata เป็นผู้นำชาวนาที่ต่อสู้เพื่อสิทธิในการครอบครองที่ดิน เขารับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง และเป็นที่รักของชาวนาทั่วเม็กซิโก
Zapata ถูก ám sátในปี 1919
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Pancho Villa
- เกิด: 5 มิถุนายน 1878 ในรัฐ Chihuahua
- เสียชีวิต: 20 กรกฎาคม 1923
Villa เป็นผู้นำกองทัพที่เก่งกาจ และเป็นที่รู้จักในเรื่องความกล้าหาญและยุทธวิธีทางทหาร
Villa ถูก ám sátในปี 1923
ตารางสรุปผลของการปฏิวัติเม็กซิโก
ผลกระทบ |
---|
การล่มสลายของระบอบเผด็จการของ Porfirio Díaz |
การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี 1917 |
การปฏิรูปที่ดินและสิทธิของแรงงาน |
การเกิดขึ้นของพรรคการเมืองใหม่ |
ความมั่นคงทางการเมืองที่ไม่แน่นอน และความรุนแรง |
บทสรุป
การปฏิวัติเม็กซิโก 1910 เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญและมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อประวัติศาสตร์ของเม็กซิโก มันเป็นการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม สิทธิ และความเท่าเทียม ซึ่งนำไปสู่การปฏิรูปทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจที่กว้างขวาง
แม้ว่าการปฏิวัตินี้จะมีความรุนแรงและความไม่แน่นอน แต่ก็เป็นก้าวสำคัญในการสร้างประเทศเม็กซิโกสมัยใหม่